19 hrs Thank you


ทริปสั้นๆแบบไม่ได้ตั้งใจนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาแค่ 19 ชั่วโมง
จุดหมายที่วางแผนไว้คือ ราชบุรี แต่ที่ไปจริงๆคือ ขอนแก่น-สมุทรสาคร ซะงั้น
เริ่มต้นเส้นทางอันแสนสั้นนี้ที่ขอนแก่น-นครราชสีมา-สระบุรี-พระนครศรีอยุธยา-นนทบุรี-ปทุมธานี-กรุงเทพ-สมุทรสาคร
และขากลับอันแสนระทึกใจก็เริมที่ สมุทรสาคร-นครปฐม - - - - - -ขอนแก่น 

09-03-2015
ตอนแรกออกเดินทางตอนแปดโมงกว่าๆ จากขอนแก่น อากาศตอนเช้ายังไม่ร้อนมาก
ในวันที่นศ.ต่างมีสอบกลางภาค แต่คณะเราไม่มี อิอิ มีความสุขจัง (แต่สอบไฟนอลที่เดียว 100 คะแนนนะแก)
ระหว่างที่ขับไปก็เพลินๆค่ะ เราขับจากขอนแก่นไปถึงสระบุรี ระหว่างทางก็พักกินข้าว เข้าห้องน้ำที่ีปั๊มตามปกติ
ที่เราชอบมากสุดคือช่วงขึ้นเขาลำตะคองและแถวๆแก่งคอย รถเยอะ ขึ้นเขา ท้าทายและสนุก วิวสวยด้วยค่ะ

พอเรารับช่วงขับต่อตอนบ่าย เริ่มเข้าช่วงรถเยอะๆ (แถวอยุธยาไปจนถึงกทม.) ก็ให้พ่อขับแทนค่ะ 
ตอนแรกคือง่วงมาก หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีอยู่ทางบนทางด่วนค่ะ ไม่รู้เรียกว่าเส้นไหน 
เส้นที่มันผ่านอิมแพคอ่ะค่ะ เส้นนั้นเลย แจ้งวัฒนะรึเปล่านะ 
คือพ่อจะข้ามไปฝั่งธนค่ะ เลยไปต่อ พ่อบอกจะไปทางดาวคะนอง บางแคไรนี่แหละ ไอ่เราก็ไม่สันทัดเรื่องเส้นทางนะ
แล้วตอนข้ามสะพานพระราม9 คือดีค่ะ อารมณ์บ้านนอกเข้ากรุงเลย เราชอบวิวค่ะ สวยดี สะพานสูงมาก เห็นกว้างมากๆ


พอไปสักพัก ถึงไหนก็ไม่รู้ค่ะ พ่อบอกว่าเราจะไปสมุทรสาครกัน เดี๋ยวนะ...
ตอนแรกไหนบอกจะไปราชบุรีคะ ....
การเดินทางนี้ไปเพื่อไปซื้อต้นไม้ นั่นคือ ลำไยพวงทองค่ะ 
ด้วยการเดินทางอันทุลักทุเลและไม่รู้จุดหมายที่แน่นอน ที่รุ้คือจะไปซื้อต้นลำไย
ก็ถามทางไปตลอทางเลยค่ะ ที่จะไปคืออ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร
ถามคนอยู่หลายคนมาก ทั้งพนักงานที่ปัีม ร้านขายของ ร้านขายมะพร้าว คนงานพม่า วินมอไซค์ บลาๆๆ 

เรื่องที่ประทับใจคือ ทุกคนมีน้ำใจมากค่ะ ทำให้เรารู้สึกว่าทริปสั้นๆครั้งนี้น่าประทับใจมากๆ
ทุกคนที่เราไปถามทางคือพยายามมากๆที่จะอธิบายให้เราเข้าใจ ซึ่งเราก็พยายามเข้าใจอยุ่นะ ฮ่าๆๆ
จนไปถึงตัวอ.บ้านแพ้ว พยายามโทรหาเบอรืที่ได้มา แต่เขาไม่รับสายค่ะ เอาไงต่อทีนี้
ก็เลยไปถามทางกับคนแถวนั้นว่ารุ้จักที่ๆว่านี้รึเปล่า ก้ไม่มีใครรู้จักเลย เศร้าไปอีก
ยายแก่ๆคนนึงนั่งที่ป้ายรถเมล์ เราก้ตรงเข้าไปถามเลย คุณยายใจดีมาก พยายามหาทางช่วยเรามาก
แต่ยายบอกว่ายากไม่รู้จริงๆ รอถามวินมอไซค์เบอร์7 ที่กำลังจะกลับมา เพราะบ้านเขาปลูกลำไยพอดี

พอพี่วินเบอรื 7 มา เราก็ถามทางเลยจ้า พี่แกก็ไม่รู้จัก แต่พยายามช่วยทุกอย่าง
แล้วพี่แกรุ้จักสวนที่ปลุกลำไยอีกที่นึง ก็อธิบายให้เราฟัง ถึงขั้นโทรติดต่อให้เลยนะ สุดยอด
ตอนอธิบายเส้นทางเราก็จดๆๆ กลัวไปไม่ถูกนะ พี่วินแกบอกว่า ให้ผมพาไปมั้ย ตอนนั้นคือซึ้งมาก
จนเจ้้าของเบอร์ที่ได้มาโทรกลับหาเรา บอกว่าเขาขายต้นไม้อยู่งานเกษตร ให้ไปดุที่นั่น

เราก็ไปถามพี่วินอีกครั้ง จนรุ้ทางไปไปงานเกษตรที่จัดในวัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร
จากนั้นก็ขอบคุรทั้งคุณยายและพี่วินมอไซค์ยกใหญ่เลย ซึ้งมากจริงๆ 
นอกจากเรื่องลำไยแล้วยังบอกเรื่องที่พักว่าที่ไหนดี หรือแพงยังไง สะอาดไม่สะอาดยังไงด้วย คือมีน้ำใจมาก

การได้รับความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าทำให้เราประทับใจมาก คือมันเป็นน้ำใจที่ีหยิบนื่นโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน
เราไม่รู้ว่าเราจะได้เดินทางไปที่นั่นอีกมั้ย และวันนึงเราอาจจะลืมเขาเหล่านั้นที่เคยช่วยเราไว้เมื่อเวลาผ่านไป แต่จะไม่มีวันลืมน้ำใจที่เคยได้รับในวันนั้นเด็ดขาด ขอบคุณมากๆเลยนนะคะ 

ระหว่างที่ขับรถไปตามซอยซึ่งคดเคีี้ยวมาก ผ่านป่ามะพร้าว สวนฝรั่ง สวนองุ่น เยอะมากๆ ร่มรื่นมาก 
บอกตรงๆว่าชอบรรยากาศแถวนั้นมาก เป็นซวยที่ถนนไม่กว้างมาก มีคลองลอดผ่านคดไปมา คือดีอ่ะ ชอบ
พอไปถึงงาน นึกว่างานจะเล็กๆจ้า ความจริงคือ วัดใหญ่มาก งานใหญ่มาก เราไปถึงตอนที่เริ่มเย้นแล้ว แสงสวยมาก
มีไฟนีออนหลากสีประดับทั่วทั้งงาน เป็นคัร้งแรกที่ได้ไปงานวัดที่ใหญ่ขนาดนี้ คนก้เยอะมากๆด้วย




พอเราไปหาซื้อต้นไม้ วึ่งจริงๆก็เดินดูแต่ต้นไม้อ่ะนะ ในที่สุดก็ได้ลำไยมา 
เจ้าของร้านใจดีมาก แถมให้ด้วย พ่อเลยซื้ออย่างอื่นนอกจากลำำไยมาด้วย อย่าง มะดัน ตะลิงปลิง(เขียนงี้ป่าว) และอื่นๆ จำไม่ได้ละ
พ่อคุยกับเจ้าของร้านว่านี่ยังหาที่พักไม่ได้ จริงๆจะไปพักบ้านป้าซึ่งอยุ่รังสิตนู่นนน ไกลมากจ้า ที่สำคัญตอนกลางคืนก็กลัวหลง
ป้าเจ้าของร้านถึงกับบอกว่า มาพักบ้านฉันก็ได้ บอกหลายรอบมากแบบจริงจังเลยนะ เราก็เกรงใจเลยปฏิเสธไป
ประทับใจน้ำใจคนแปลกหน้าอีกละค่ะ คือบอกไม่ถูกเลยอ่ะ 

สิ่งที่ได้มาก็ต้นไม้หนึ่งรถเข็นและรูปที่ไม่ค่อยมีเวลาถ่ายเลย



งานจบ แต่การหลงทางยังไม่จบค่ะ...
พ่อตัดสินใจว่าจะไม่ไปพักที่ไหน จะกลับขอนแก่นเลย เราก็แบบ...เอ่อ พ่อคะ คือเหนื่อยมาก จะไหวมั้ย
แต่ก็แล้วแต่พ่อเลยค่ะ ยังไงเราก็ช่วยขับอยู่แล้ว
พ่อบอกว่าจะไม่กลับทางเดิมเพราะมันซับซ้อนกลัวหลงทาง พ่อจะกลับทางนครปฐมค่ะ ซึ่งเป็นทางที่ไม่เคยไป
ในใจนี่หวั่นๆแล้วล่ะ ไปในทางที่ไม่คุ้นเคย แถมเป็นตอนกลางคืนด้วย หลงแน่



และก็เป็นอย่างที่คิดค่ะ หลงทาง
ตอนนั้นก้ไว้ใจพ่อค่ะ เลยหลับไปอย่างสบายใจ คิดว่าพ่อไม่น่าจะพาหลงหรอก แม้สุดท้ายจะหลงก็เถอะ
สักพักเราตื่นตอนพ่อจอดรถ พอบว่าหลงแน่ค่ะ พ่อก็บอกว่าหลงแล้ว ฮ่าๆๆ ตลกมากค่ะ
พ่อเลยไปจอดถามทาง เหลือเราอยุ่บนรถ ยังง่วงๆเพิ่งตื่นค่ะ มึนๆเลย
มีคนมาส่องที่กระจกรถ เราเลยเปิดกระจกว่ามีอะไรหรอคะ 
น้าผู้หญิงคนนั้นบอกว่า คือสามีพี่จะมาเก็บของ พอดีรถเราขวางทาง 
นี่เลยบอกว่า พ่อลงไปถามทางอยู่ แป๊บนึงนะคะ (ลืมไปว่าตัวเองก็ขับรถเป็น)
พอเริ่มมีสติเลยบอกว่า เดี๋ยวหนุเลื่อนรถให้ก็ได้ค่ะ น้าแกตกใจมากค่ะ ถามเราว่าเห้ยขับได้เหรอ ไม่เป็นไรๆ รอพ่อหนุก็ได้
นี่เลยบอกว่า อ๋อ หนุได้ใบขับขี่แล้วนะคะ (ฮ่าๆๆ ไม่น่าเชื่อเลยหรอคะ)
แล้วน้าก้ถามอีกว่า พ่อหนูถามทางจะไปไหน เราก็เบลอค่ะ จะตอบว่า ทางกลับบ้าน (มีสติหน่อย!)
พ่อเลยบอกว่า ผมจะไปสระบุรี น้าแกเลยบอกว่าเดี๋ยวลองถามสามีแกดู สามีแกเป็นตำรวจจราจร

แล้วสามีน้าก็อธิบายเส้นทางอันแสนงงให้พ่อเราฟัง มองหน้าพ่อก้รุ้ว่าพ่องงค่ะ 
น้าแกเลยมาอธิบายให่เราฟัง ด้วยสติอันไม่ค่อยครบถ้วนตอนนั้นก็พยายามจำพิกัดที่สำคัญๆ ค่ะ
จนสุดท้าย ด้วยความสามารถของเราก็พาพ่อมายังถนนพหลโยธินได้สำเร็จ !

ตอนนี้ไม่หลงทางแล้วค่ะ พ่อขับมาเรื่อยๆจนถึงอยุธยา จอดกินข้าวกันข้างทาง
พ่อสั่งกะเพราะหมูแต่หมูหมดเลยสั่งกะเพราะเนื้อ เราก็หิวมากค่ะ ขี้เกียจคิดเมนูเลยสั่งไข่เจียวหมูสับ 
เจ้าของร้านย้ำพร้อมขำเราค่ะว่า หมุหมด เราก็คิดได้ เออ เมื่อกี้เค้าเพิ่งบอกเราว่าหมูหใด (มีสติหน่อย!)
เลยบอกว่า งั้นเอาข้าวไข่เจียวไม่ใส่ผักธรรมดาๆก้ได้ค่ะ พอกินเสร็จก็เดินทางต่อ 
พ่อก็ขับต่อไปสักพัก เราก็จิบเอ็มร้อยห้าสิบเลยค่ะเพราะเดี๋ยวต้องรับช่วงขับรถต่อ
ตอนนั้นเกือบห้าทุ่มแล้ว เราก็ตื่นแล้วค่ะ พอดีกับที่พ่อเริ่มเหนื่อย เลยแวะปั๊มและเราได้รับช่วงขับต่อค่ะ

ตั้งแต่ก่อนถึงแก่งคอยเรารับช่วงพ่อขับต่อจนถึงขอนแก่นเลยค่ะ มีแวะปั๊มล้างหน้าบ้างครั้งสองครั้ง
ปัญหาคือ ตอนกลางคืนรถบรรทุกเยอะมากค่ะ และมันมืดจริงๆ ถนนบางช่วงไม่มีไฟและยังขึ้นเขาอีกต่างหาก
แต่เราก็ถือว่าเป็นประสบการร์ที่ท้าทายค่ะ ผ่านช่วงมืดๆบนเขาไปแล้ว เจอปัยหาที่รถบรรทุกชอบวิ่งเลนขวาซึ่งห้ามวิ่ง
เลยเซ็งบ้างนิดหน่อยค่ะ เราเองก็วิ่งขวาบ่อยมากเพราะไม่อยากวิ่งต่อท้ายสิบล้อ และเลนซ้ายส่วนใหญ่พื้นผิวถนนไม่ค่อยดีค่ะ ขับไม่ค่อยลื่นเลย

จนอยู่แถวช่วงโคราชค่ะ เราโดนตำรวจทางหลวงเรียก ให้ทายว่าโดนเรื่องอะไร?
เปิดกระจกมาเราก็ไหว้ก่อนเลยค่ะ เพราะเป็นครั้งแรกที่เราโดนเรียก และที่โดนเรียกเพราะวิ่งขวาเกือบตลอดและขับรถเร็วเกินที่กฎหมายกำหนด
จริงๆเราก็ไม่ได้ขับเร็วมากนะ ไม่ถึง 100km/h เลยนะ แต่ก็เหยียบ 90 ตลอด (กฎหมายกำหนดให้ไม่เกิน 90km/h)
คือเห็นว่ากลางคืนด้วยแหละเลยเหยียบซะ จนโดนเรียกค่ะ
ตอนแรกที่เปิดกระจกลงมา ตำรวจตกใจค่ะ ถามพ่อเราว่าทำไมให้สุภาพสตรีขับล่ะ พ่อเลยบอกว่าผมเหนื่อย
ตำรวจเห็นหน้าเราเด็กเลยขอดูบัตรจ้า (อันที่จริงต้องขอดูอยู่แล้ว) เราเลยเอาให้ดู นี่คือได้ใบอนุญาตนแล้วนะ อายุ 21 แล้วนะ

ตำรวจถามอีกว่า ทำไรอยู่ นี่เลยตอบเรียนอยู่ค่ะ ถามต่อว่าเขียนใบสั่งได้มั้ย หืมมม เรานี่ยิ้มเลยค่ะ พยายามยิ้มสวยๆสู้
เราก็ไม่ตอบ แล้วตำรวจเลยถามต่อว่า เรียนอะไร เลยบอกว่า นิติศาสตร์ค่ะ 
ตำรวจก็คิดนิดนึงค่ะ แล้วเลยบอกพ่อเราว่า ช่วยเตือนลุกด้วย อย่าขับเร้วมาก ช่วยลดอุบัติเหตุได้
แล้วคุณตำรวจก็คุยเรื่องลุกชายตัวเองมั้ง เราจับใจความไม่ค่อยได้ แล้วก็ปล่อยไปค่ะ
สรุปคือ รอดค่ะ ไม่โดนใบสั่ง ถือว่าโชคดีไป ต่อไปหนุจะไม่ขับเร้วแล้วค่าาา

ก็ด้วยความเพลียค่ะ กลัวตัวเองหลับในมาก เปิดเพลงร้องไปตลอดทาง จนถึงขอนแก่นตอนตีสามเศษๆ
โล่งมากค่ะ ในที่สุดก็ถึง แต่พ่อคือต้องขับต่อกลับกาฬสินธุ์ไง นี่เลยไม่กล้าหลับ รอพ่อโทรมาบอกว่าถึงบ้านรึยัง
จนประมาณเกือบตีห้าพ่อโทรมาบอกว่าถึงบ้านแล้วค่ะ ก็โอเคโล่ง นอนได้
จากนั้นเราก็สลบเลยค่ะ .... จนตื่นมาเขียนบล็อกนี่แหละ




จากการเดินทางสั้นๆครั้งนี้ แม้ว่าจะเหนื่อยและทุลักทุเลบ้างเรื่องเส้นทาง มีหลงทางบ้าง โดนตำรวจเรียกบ้าง เจออาหารไม่อร่อยบ้างหรืออะไรก้ตาม
เรากลับรุ้ัสึกประทับใจมากๆ กับน้ำใจและความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้าซึ่งเราอาจจะไม่ได้พบเขาอีกเลยจากนี้ไป
ขอบคุณพี่วินมอไซค์ คุณยายที่ป้ายรถเมล์ เจ้าของร้านขายต้นไม้ เจ้าของร้านขายมะพร้าว พนักงานปั๊มน้ำมัน สามีหน้าผู้หยิงคนนั้นที่เป็นตำรวจ น้าผู้หญิงคนนั้น และทุกคนที่ไม่ได้เอ่ยถึงด้วยนะคะที่ช่วยบอกทางจนหนุกับพ่อไปถึงที่หมายจนได้ หนุจะไม่มีวันลืมน้ำใจของทุกคนในครั้งนี้เลยนะคะ


นอกการเดินทางครั้งนี้จะเป็นการเปิดหูเปิดตา ได้ไปในที่ใหม่ๆที่ไม่เคยไป ได้เจอคนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ และเราทุกคนไม่เคยรุ้จักกันมาก่อนแล้ว เรายังได้เห็นโลกกว้างขึ้นด้วย ต้องขอบคุณการเดินทางครั้งนี้และทุกคนที่คอยช่วยเหลือมาตลอดเส้นทาง
เราเคยมีความคิดว่า คนส่วนใหญ่มักจะเห้นแก่ตัวและไม่ใส่ใจความทุกขืของคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก แต่การเดินทางคัร้งนี้ทำให้เราต้องมองโลกใหม่แล้วล่ะ
โลกที่เคยมองว่าแคบ จริงๆแล้วกว้างกว่าที่เราคิด และเราอาจจะเจอคนดีๆอีกมากมายระหว่างทางที่เราไป 
มองย้อนกลับมา ถ้ามีคนมาถามทาง เราจะเต็มใจช่วยเขาเท่าที่เราเคยได้รับความช่วยเหลือแบบนี้รึเปล่านะ 
มันเรียกว่าอะไรนะ จิตสำนึกรึเปล่า หรืออะไรก็ตามแหละ เราว่ามันคงเป็นการเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งเราทุกคนต้องมีสิ่งนี้อยุ่ในตัวแน่ๆ เพียงแต่จะได้ใช้ตอนไหนแค่นั้นเอง เราเองที่ได้รับน้ำใจในครั้งนี้ จะเอามาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติตัวกับคนอื่นบ้าง จะช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากเท่าที่เราทำได้นะ หวังว่าจะมีโอกาได้บอกทางคนแปลกหน้าบ้างเหมือนกีน ถ้าได้ส่งต่อสิ่งดีๆนี้ไปเรื่อยๆคงดีเหมือนกัน 

เป็นความจริงที่โลกใบนี้กว้างมากเกินจะคาดเดา และโลกแห่งความจริงมันโหดร้าย แต่มันก็ไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้น เพราะทุกๆที่จะมีคนดีที่มีน้ำใจและช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากอยุ่เสมอแหละ ถ้าโชคดีต้องได้เจอแน่ อย่าลืมบอกเขาเหล่านั้นว่า "ขอบคุณ" นะ ถึงจะเป็นเรื่องเล็กๆ แต่่มันก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมเชียวล่ะ

และข้อคิดอีกอย่างที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้...
ต่อให้เราจะขับรถไปผิดทาง หรือเราอาจจะหลงทาง แต่ถนนทุกเส้นมันจะมีที่ให้เรายูเทิร์นอยู่แล้วนะ ถ้าไม่มี เราก็แค่กลับไปเริ่มต้นจากที่ๆเราจากมา แค่นั้นเอง ชีวิตคนเราก็เช่นกัน ไม่ได้แตกต่าง ถ้าเราหลงทางก็แค่เดินกลับทางเดิมแล้วเลือกเส้นทางใหม่ 

ทุกคน ... ออกไปใช้ชีวิตกันเถอะ !   


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ว่าจะเขียนพรุ่งนี้

ชวนฟัง CCSQ - อ้อมกอด // Acoustic Live

สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ส่งงานครู)